bank.gif (5466 bytes)

line1.GIF (471 bytes)

bank01.jpg (4706 bytes)

เมื่อฟังผู้ใหญเล่าถึงเรื่องราวสมัยสงครามญี่ปุ่นขึ้นแล้วมักจะหนีไม่พ้นเรื่องความเป็นอยู่ที่สับสนวุ่นวายจากการ
อพยพหลบภัยและมีเกร็ดเล็ก ๆ เกี่ยวกับธนบัตรที่ใช้อยู่เนือง ๆ เนื่องจากมีความขาดแคลนวุ่นวาย ในเรื่องธนบัตรพอสมควรและนี้เองซึ่งทำให้เกิดคำว่า " ตางค์กล้วย "และ "แบงค์เล้ง ท่าฉาง" ขึ้นมาในวงการสนทนาเรื่องสงครามโลกครั้งที่สองในภาคใต้อยู่เสมอ

ตางค์กล้วย

bank02.jpg (5456 bytes)

คนไทยเคยเห็นธนบัตรรุ่นแรกนา หรือไถนามาครั้งหนึ่งแล้วในสมัย
รัชกาลที่ 6 ครั้นรัชกาลที่ 7 และ 8 ก็เริ่มใช้ธนบัตรที่มีพระบรมฉายาลักษณ์แทน
แต่พอถึงสงครามมหาเอเซียบูรพา คนไทยโดยเฉพาะชาวปักษ์ใต้ได้ใช้ธนบัตร
รูปต้นกล้วยที่มีเครือ จึงเรียกติดปากเป็น ตางค์กล้วย มาจนถึงทุกวันนี้

 

ธนบัตรหรือตางค์กล้วยที่ชาวปักษ์ใต้ได้ใช้กันเป็นธนบัตรที่รัฐบาลญี่ปุ่น
พิมพ์เพื่อเตรียมมาใช้ในมาลายู ราคาใบละ 10 ดอลล่าร์ แต่เข้าใจว่าญี่ปุ่นคงหาสัญลักษณ์อย่างอื่นของมลายูไม่ได้ จึงเลือกใช้ภาพพันธ์ไม้พื้นเมืองไว้บนธนบัตร ได้แก่กล้วย มะพร้าว สับปะรด และละมุด เป็นต้น

bank03.jpg (5684 bytes)

ธนบัตรดังกล่าวคงติดตัวทหารญี่ปุ่นที่เดินทางไปมาระหว่างมลายูกับภาคใต้ ประกอบกับธนบัตรธนบัตรไทย ก็มีความขาดแคลนจึงได้อนุโลม
ให้ใช้ชำระหนี้ กันทั่วไปในนาม ตางค์กล้วย

อนึ่ง ในบรรดาธนบัตรที่ญี่ปุ่นพิมพ์มาใช้ในมลายูและพม่า พบว่ามีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งขนาดและรูปแบบ มีต้นมะพร้าวเป็นกรอบนอก แต่ของพม่ายังมีสัญลักษณ์หมู่เจดีย์แทน ซึ่งนับว่าน่าภูมิใจกว่าส่วนธนบัตรไทยเอง ยิ่งน่าภูมใจกว่านั้น เพราะใช้ธนบัตรที่รัฐบาลไทยจัดพิมพ์มาโดยตลอด ไม่ว่าด้วยการสั่งพิมพ์ในประเทศบ้าง และพิมพ์จากญี่ปุ่นบ้าง


ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยสั่งพิมพ์ธนบัตรจากบริษัทโทมัส เดอลารู จำกัด จากประเทศอังกฤษแต่เมื่อญี่ปุ่นยาตราเข้าประเทศไทยแล้ว รัฐบาลไทยก็ต้องจัดหาผู้พิมพ์ธนบัตรใหม่ โดยขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นจัดหาให้ซึ่งได้แก่บริษัท มิตซุย บุชชันไกธา ไปติดต่อกับโรงพิมพ์ธนบัตรกระทรวงคลังญี่ปุ่น อีกต่อหนึ่ง ธนบัตรรุ่นนี้มี 7 ราคา คือ 50 สตรางค์,1,5,10,20,100, และ 1,000 บาท ประกาศใช้เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2485

bank04.jpg (4595 bytes)

ภาพที่ 4 ธนบัตรราคา 50 สตางค พิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น

bank05.jpg (4460 bytes)

ภาพที่ 5 ธนบัตรราคา 1 บาท พิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น

มีข้อสังเกตุว่าธนบัตรไทยชุดนี้มีความแตกต่างจากธนบัตรที่ใช้ในมาลายู และพม่าหลายประการ กล่าวคือ
1. เป็นธนบัตรของรัฐบาลไทย มิใช่ของรัฐบาลญี่ปุ่น
2. มีขนาด รูปร่างและลักษณะตามแบบธนบัตรไทย ตั้งแต่ก่อนสงคราม (มิได้ไปร่วมวงไพบูลย์เป็นธนบัตรที่มีขาด และรูแบบคล้ายมาลายู และพม่า)
3. นอกจากธนบัตรทุกใบจะมีพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 8 แล้ว ยังปรากฎภาพสถานที่สำคัญ ๆ (วัดและวัง) แตกต่างกันไปตามราคาด้วย
4. ใช้ภาษาไทยบนธนบัตร

bank06.jpg (4776 bytes)

ภาพที่ 6 ธนบัตรราคา 10 บาท พิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น

bank07.jpg (5909 bytes)

ภาพที่ 7 ธนบัตรราคา 20 บาท พิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น

ธนบัตรที่พิมพ์ในไทย
ในขณะที่รัฐบาลสั่งพิมพ์ธนบัตรจากญี่ปุ่นนั้น ความต้องการใช้ธนบัตรในประเทศสูงมากขึ้น โดยเฉพาะกองทัพญี่ปุ่นมีความต้องการใช้ในการซื้ออยุทธปัจจัย รัฐบาลไทยจึงดำเนินการพิมพืเองภายในประเทศโดยใช้อุปกรณ์เท่าที่หาได้ ส่วนรูปแบบนั้นใช้แบบเดิมที่เคยพิมพ์จากบริษัทโทมัส เดอลารู จำกัด ประเทศอังกฤษ สำหรับสีนั้นพยายามให้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุดเท่าที่ทำได้ (เว้นราคา 100 บาท ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นใหม่)

bank09.jpg (3583 bytes)

ภาพที่ 8 ธนบัตรราคา 10 บาท พิมพในประเทศไทย(โดยกรมแผนที่ทหาร)

bank08.jpg (5189 bytes)

ภาพที่ 9 ธนบัตรราคา 20 บาท พิมพในประเทศไทย โปรดสังเกตอักขรวิธในธนบัตร จะเห็นว่าใช้อักขรวิธีตามแบบรัฐนิยมของจอมพล ป.พิบูลสงคราม

ธนบัตรรุ่นนี้มี 4 ราคาคือ 1 , 10 , 20 และ 100 บาท ประกาศใช้เมื่อ 24 มิถุนายน 2485 ฉบับที่พิมพ์จากกรมแผนที่ทหารบกจะมีคำว่า "กรมแผนที่" อยุ่ที่กลางกรอบด้านล่างของหน้า แต่ถ้าพิมพ์จากกรมอุทกศาสตร์ทหารเรือ ก็จะไม่ปรากฏซื่อโรงพิมพ์ไว้
อนึ่งชนิดราคา 100 บาท มีตราของธนาคารแห่งประเทศไทย (สีแดง) ประทับด้านหลักให้ทาบกับต้นขั้วด้วย เพื่อป้องกันการปลอมแปลง

bank12.jpg (4505 bytes)

ภาพที่ 10 ธนบัตรราคา 100 บาท พิมพในประเทศไทย (โดยกรมแผนที่ทหาร)ภายในวงกลมด้านขวามีตราธนาคารแห่งประเทศไทยปรากฏอยู่ด้วย

bank10.jpg (4117 bytes)

ภาพที่ 11 ธนบัตรราคา 100 บาท (ด้านหลัง)

ใน พ.ศ.2488 ธนบัตรจากญี่ปุ่นมีปัญหาการขนส่งขลุกขลัก และธนบัตรที่กรมแผนที่ทหารบกและกรมอุทกศาสตร์ทหารเรือพิมพ์ไม่ทันใช้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงใช้วิธีจ้างโรงพิมพ์เอกชนพิมพ์ ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด ธนบัตรรุ่นนี้มี 4 ราคา คือ 1 , 5 , 10 , 50 บาท ลวดลายเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนพระบรมฉายาลักษณ์ใหม่ และตรงกลางขอบล่างด้านหน้ามีข้อความว่า "ธนาคารแห่งประเทศไทย" ปรากฏอยู่ (ดูภาพ 12 และ13)

ธนบัตรที่จัดพิมพ์ในประเทศไทยช่วงสงตราม นอกจากมีคุณภาพด้านสีและลวดลายค่อนข้างต่ำแล้ว เนื้อกระดาษก็เป็นอย่างเลวเพราะหากระดาษยาก พานรัฐธรรมนูญแทนที่จะเป็นลายน้ำ ก็พิมพ์รูปลงไปในวงกลมสีขาวเลย

bank11.jpg (5884 bytes)

ภาพที่ 12 ธนบัตรราคา 1 บาท พิมพ์โดยโรงพิมพ์เอกชนภายในประเทศ

bank13.jpg (5550 bytes)

ภาพที่ 13 ธนบัตรราคา 1 บาท พิมพ์โดยโรงพิมพ์เอกชนภายในประเทศ ผิดเพี้ยนทั้งสีและขนาด ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2488


ธนบัตรเล้งท่าฉาง

ธนบัตรซึ่งมีชื่อเสียงโจษขานในเรื่องการถูกขโมยและการปลอมแปลงลายมือชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมากที่สุดในช่วงสงคราม เห็นจะไม่มีชุดใดเกินธนบัตรชุด "เล้งท่าฉาง"

ในสงครามขณะนายเล้ง ศีรสมวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีเรื่องเล่ากันมาว่าญี่ปุ่นได้ลำเลียงธนบัตรชนิดราคาต่าง ๆ จากมาลายูหรืออินโดนีเซียเข้ากรุงเทพฯ โดยทางรถไฟหลายเที่ยว เที่ยวหนึ่งได้ถูกคนไทยขโมยธนบัตรเหล่านี้โดยการถีบหีบห่อลงจากตู้รถไฟ ขณะแล่นอยู่ระหว่างสถานีบางน้ำจืดถึงสถานีท่าฉาง เมื่อได้ธนบัตรเหล่านี้แล้วก็มีชาวบ้านหัวใส นำไปมอบให้ชาวไทยผู้หนึ่งชื่อ "เล้ง" แห่งอำเภอท่าฉาง
เป็นผู้เซ็นชื่อ "เล้ง ศรีสมวงศ์" ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงในธนบัตรดังกล่าว และไปว่าจ้างโรงพิมพ์ในท้องถิ่นตีพิมพ์หมายเลขธนบัตร แล้วนำออกเผยแพร่จ่ายแจกหรือจำหน่ายในราคาถูก ธนบัตรเหล่านี้มีเป็นจำนวนมาก คนไทยในสมัยนั้นจึงเรียกธนบัตรรุ่นที่มีปัญหานี้ว่า "ธนบัตรเล้งท่าฉาง" และเรียกลกุ่มคนที่ขโมยธนบัตรหรือสัมภาระของญี่ปุ่นจากตู้รถไฟว่า "ขบวนการไทยถีบ"

ธนบัตรเล้งท่าฉางที่พบส่วนใหญ่เป็นราคา 10 บาท บางฉบับนายเล้งได้ลงนามเอง บางฉบับใช้ลายเซ็นซึ่งแกะด้วยหัวมันเทศประทับลงไป นับเป็นเรื่องที่จัดว่าฮือฮากันไปทั่วในเวลานั้น

จากการสอบถามนายธรรมทาส พานิช แห่งโรงพิมพืธรรมทาน อำเภอไชยา เล่าว่าสมัยนั้นมีการขโมยห่อนธนบัตรที่ขนจากทางใต้ไปกรุงเทพฯ ที่สถานีรถไฟบางน้ำจืด อำเภอท่าฉางจริง เพราะได้มีผู้นำเอาธนบัตรราคา 10 บาท (สีน้ำตาล) มาว่าจ้างให้โรงพิมพ์ธรรมทานตีพิมพ์ชื่อนายเล้ง ศรีสมวงศ์ และพิมพ์หมายเลขลงบนธนบัตร แต่ทางโรงพิมพ์ปฏิเสธ ตนจึงไม่ทราบว่าธนบัตรดังกล่าวมีจำนวนเท่าใด และนำไปดำเนินการอย่างไรต่อไป
ต่างหากพิจารณาถึงความเป็นไปได้แล้ว ขบวนการไทยถีบน่าจะดำเนินการขโมยและปลอมแปลงธนบัตรอีกชุดหนึ่งคือ ชุดพิมพ์ที่ญี่ปุ่น (ชนิดราคา 10 บาท) ซึ่งมีจำนวนหนึ่งพิมพ์ที่ชวาด้วยกระดาษและหมึกที่มีคุณภาพต่ำและปลอมแปลงได้ง่ายในวันที่ 30 มันาคม พ.ศ.2489 รัฐบาลจึงประกาศให้ใช้เป็นธนบัตรแก้ราคาเป้น 50 สตางค์ ซึ่งจากธนบัตรตัวอย่างที่มีอยู่ จะเห็นว่าตราประทับแก้ราคา ง่ายต่อการปลอมและเป็นไปได้ที่จะแกะจากหัวมัน ลงนามพระยาศรีวิศาลวาจา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ในสมัยนั้น) ก็ดูไม่ออกว่าใครเขียน เลขหมวดหมุ่ปากกาคอแร้งเขียนเอาเฉย ๆ ประกอบกับมีหลักฐานสนับสนุนว่าธนบัตรชุดนี้ขนจากใต้ไปกรุงเทพ ฯ แน่ (เพราะพิมพ์ที่ชวา) ทำให้น่าจะเชื่อว่าเรื่องธนบัตรเล้งท่าฉางนั้น อาจเป็นศรีวิศาลวาจาท่าฉางก็เป้นได้ แต่ทั่งนี้ยังไม่คลายสงสัยว่าเหตุใดจึงเพียรพยายามแก้ธนบัตรจากราคา 10 บาท ลงมาเป็น 50 สตางค์เล่า?

bank14.jpg (5033 bytes)


ภาพที่ 14 ธนบัตรราคา 5 บาท ลงนามโดยรายเล้งท่าฉาง (นายเล้ง แห่งอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฏร์ธานี)

bank15.jpg (3372 bytes)

ภาพที่ 15 ธนบัตรราคา 10 บาท ลงนามโดยนายเล้งท่าฉาง (นายเล้ง แห่งอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฏร์ธานี)

bank16.jpg (5120 bytes)

ภาพที่ 16 ธนบัตรราคา 10 บาท ซึ่งนำมาจากประเทศอินโดนีเซีย ผ่านทางภาคใต้โดยทางรถไฟ

bank17.jpg (4602 bytes)

ภาพที่ 17 ธนบัตรราคา 10 บาท(ด้านหลัง)ภายหลังมีการแก้ไขราคาเป็น
50 สตางค์


ธนบัตรหม้อขายก๋วยเตี๋ยว

ธนบัตรนี้ไม่เป็นที่รู้กันมากเท่าตางค์กล้วย และเล้งท่าฉางแต่เพื่อให้เรื่องธนบัตรไทยกับสงครามโลกครั้งที่สองครบถ้วน จึงขอกล่าวไว้ในที่นี้ด้วย

ในช่วงต้นสงครามนั้น ไทยได้รับคืนรัฐมลายูตอนเหนือคืน (ปะลิส กลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี) โดยญี่ปุ่นยึดจากอังกฤษมา จึงเตรียมธนบัตรไปใช้ในราคาหนึ่งดอลล่าร์ ซึ่งมีภาษาไทยจีน และมลายู ใช้กระดาษขนาด 16 ฉบับต่อแผ่น แล้วตัดออกเป็นรายฉบับ แต่มิได้นำออกไปใช้ตามที่คาดหมายไว้ พอดีธนบัตรขาดแคลน จึงมาแก้ราคาเป็น 50 บาท ในการพิมพ์แก้นั้นได้เอาธนบัตร 16 ฉบับ มาปะปนกระดาษขนาดเท่าเดิมก่อนแล้วจึงพิมพ์ จากนั้นก็แช่น้ำในหม้อก๋วยเตี๋ยว ให้หลุดแยกจากฉบับเดิม แล้วเอาไปตากแห้งก่อนนำออกใช้ ธนบัตรชุดนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2488

bank18.jpg (5641 bytes)

ภาพที่ 18 ธนบัตรหม้อขายก๋วยเตี๋ยว

bank19.jpg (5135 bytes)

ภาพที่ 19 ธนบัตรหม้อขายก๋วยเตี๋ยว (ด้านหลัง)

สำหรับธนบัตรแบบบุกนั้น เป้นธนบัตรที่ทางการทหารอังกฤษจัดพิมพ์ไว้เตรียมใช้เมื่อตีไทยจากญี่ปุ่นได้ แต่สงครามสงบเสียก่อน ประกอบกับไทยขาดแคลนธนบัตร อังกฤษจึงยกให้ไทยมาพิมพืดัดแปลงใช้ มีราคาเดียว (คือ 1 บาท) ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2489

นอกจากนี้ในปลายสงคราม รัฐบาลอังกฤษยังได้ส่งบริษัทโทมัสเดอลารู จำกัด พิมพ์ธนบัตรแบบที่เคยพิมพ์ให้ไทนก่อนสงคราม ราคา 1 , 5 และ 10 บาท โดยใช้เลขหมวดหมู้ซ้ำกับที่เคยออกแล้ว เพื่อกองทัพพันธมิตร รวมมูลค่า 412,705 บาทอีกด้วย

เท่าที่เก็บมาเล่านี้คงพอจะนึกภาพเมื่อ 50 ปีที่แล้วได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะความวุ่นวายของธนบัตรไทยและธนบัตรที่ถูกเอามาใช้ในไทย