เมื่อฟังผู้ใหญเล่าถึงเรื่องราวสมัยสงครามญี่ปุ่นขึ้นแล้วมักจะหนีไม่พ้นเรื่องความเป็นอยู่ที่สับสนวุ่นวายจากการ
อพยพหลบภัยและมีเกร็ดเล็ก ๆ เกี่ยวกับธนบัตรที่ใช้อยู่เนือง ๆ เนื่องจากมีความขาดแคลนวุ่นวาย ในเรื่องธนบัตรพอสมควรและนี้เองซึ่งทำให้เกิดคำว่า " ตางค์กล้วย "และ "แบงค์เล้ง ท่าฉาง" ขึ้นมาในวงการสนทนาเรื่องสงครามโลกครั้งที่สองในภาคใต้อยู่เสมอ
คนไทยเคยเห็นธนบัตรรุ่นแรกนา
หรือไถนามาครั้งหนึ่งแล้วในสมัย รัชกาลที่ 6 ครั้นรัชกาลที่ 7 และ 8 ก็เริ่มใช้ธนบัตรที่มีพระบรมฉายาลักษณ์แทน แต่พอถึงสงครามมหาเอเซียบูรพา คนไทยโดยเฉพาะชาวปักษ์ใต้ได้ใช้ธนบัตร รูปต้นกล้วยที่มีเครือ จึงเรียกติดปากเป็น ตางค์กล้วย มาจนถึงทุกวันนี้ |
|
![]() |
ธนบัตรดังกล่าวคงติดตัวทหารญี่ปุ่นที่เดินทางไปมาระหว่างมลายูกับภาคใต้ ประกอบกับธนบัตรธนบัตรไทย ก็มีความขาดแคลนจึงได้อนุโลม
ให้ใช้ชำระหนี้ กันทั่วไปในนาม ตางค์กล้วย
อนึ่ง ในบรรดาธนบัตรที่ญี่ปุ่นพิมพ์มาใช้ในมลายูและพม่า พบว่ามีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งขนาดและรูปแบบ มีต้นมะพร้าวเป็นกรอบนอก แต่ของพม่ายังมีสัญลักษณ์หมู่เจดีย์แทน ซึ่งนับว่าน่าภูมิใจกว่าส่วนธนบัตรไทยเอง ยิ่งน่าภูมใจกว่านั้น เพราะใช้ธนบัตรที่รัฐบาลไทยจัดพิมพ์มาโดยตลอด ไม่ว่าด้วยการสั่งพิมพ์ในประเทศบ้าง และพิมพ์จากญี่ปุ่นบ้าง
ธนบัตรที่พิมพ์จากญี่ปุ่น
ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยสั่งพิมพ์ธนบัตรจากบริษัทโทมัส เดอลารู จำกัด จากประเทศอังกฤษแต่เมื่อญี่ปุ่นยาตราเข้าประเทศไทยแล้ว รัฐบาลไทยก็ต้องจัดหาผู้พิมพ์ธนบัตรใหม่ โดยขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นจัดหาให้ซึ่งได้แก่บริษัท มิตซุย บุชชันไกธา ไปติดต่อกับโรงพิมพ์ธนบัตรกระทรวงคลังญี่ปุ่น อีกต่อหนึ่ง ธนบัตรรุ่นนี้มี 7 ราคา คือ 50 สตรางค์,1,5,10,20,100, และ 1,000 บาท ประกาศใช้เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2485
ภาพที่ 4 ธนบัตรราคา 50 สตางค พิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น |
ภาพที่ 5 ธนบัตรราคา 1 บาท พิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น |
มีข้อสังเกตุว่าธนบัตรไทยชุดนี้มีความแตกต่างจากธนบัตรที่ใช้ในมาลายู และพม่าหลายประการ กล่าวคือ
1. เป็นธนบัตรของรัฐบาลไทย มิใช่ของรัฐบาลญี่ปุ่น
2. มีขนาด รูปร่างและลักษณะตามแบบธนบัตรไทย ตั้งแต่ก่อนสงคราม (มิได้ไปร่วมวงไพบูลย์เป็นธนบัตรที่มีขาด และรูแบบคล้ายมาลายู และพม่า)
3. นอกจากธนบัตรทุกใบจะมีพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 8 แล้ว ยังปรากฎภาพสถานที่สำคัญ ๆ (วัดและวัง) แตกต่างกันไปตามราคาด้วย
4. ใช้ภาษาไทยบนธนบัตร
ภาพที่ 6 ธนบัตรราคา 10 บาท พิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น |
ภาพที่ 7 ธนบัตรราคา 20 บาท พิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น |
ธนบัตรที่พิมพ์ในไทย
ในขณะที่รัฐบาลสั่งพิมพ์ธนบัตรจากญี่ปุ่นนั้น ความต้องการใช้ธนบัตรในประเทศสูงมากขึ้น โดยเฉพาะกองทัพญี่ปุ่นมีความต้องการใช้ในการซื้ออยุทธปัจจัย รัฐบาลไทยจึงดำเนินการพิมพืเองภายในประเทศโดยใช้อุปกรณ์เท่าที่หาได้ ส่วนรูปแบบนั้นใช้แบบเดิมที่เคยพิมพ์จากบริษัทโทมัส เดอลารู จำกัด ประเทศอังกฤษ สำหรับสีนั้นพยายามให้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุดเท่าที่ทำได้ (เว้นราคา 100 บาท ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นใหม่)
ภาพที่
8 ธนบัตรราคา
10 บาท พิมพในประเทศไทย(โดยกรมแผนที่ทหาร) |
ภาพที่ 9 ธนบัตรราคา 20 บาท พิมพในประเทศไทย โปรดสังเกตอักขรวิธในธนบัตร จะเห็นว่าใช้อักขรวิธีตามแบบรัฐนิยมของจอมพล ป.พิบูลสงคราม |
ธนบัตรรุ่นนี้มี 4 ราคาคือ 1 , 10 , 20 และ 100 บาท ประกาศใช้เมื่อ 24 มิถุนายน 2485 ฉบับที่พิมพ์จากกรมแผนที่ทหารบกจะมีคำว่า "กรมแผนที่" อยุ่ที่กลางกรอบด้านล่างของหน้า แต่ถ้าพิมพ์จากกรมอุทกศาสตร์ทหารเรือ ก็จะไม่ปรากฏซื่อโรงพิมพ์ไว้
อนึ่งชนิดราคา 100 บาท มีตราของธนาคารแห่งประเทศไทย (สีแดง) ประทับด้านหลักให้ทาบกับต้นขั้วด้วย เพื่อป้องกันการปลอมแปลง
ภาพที่ 10 ธนบัตรราคา 100 บาท พิมพในประเทศไทย (โดยกรมแผนที่ทหาร)ภายในวงกลมด้านขวามีตราธนาคารแห่งประเทศไทยปรากฏอยู่ด้วย |
ภาพที่ 11 ธนบัตรราคา
100 บาท (ด้านหลัง) |
ใน พ.ศ.2488 ธนบัตรจากญี่ปุ่นมีปัญหาการขนส่งขลุกขลัก และธนบัตรที่กรมแผนที่ทหารบกและกรมอุทกศาสตร์ทหารเรือพิมพ์ไม่ทันใช้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงใช้วิธีจ้างโรงพิมพ์เอกชนพิมพ์ ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด ธนบัตรรุ่นนี้มี 4 ราคา คือ 1 , 5 , 10 , 50 บาท ลวดลายเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนพระบรมฉายาลักษณ์ใหม่ และตรงกลางขอบล่างด้านหน้ามีข้อความว่า "ธนาคารแห่งประเทศไทย" ปรากฏอยู่ (ดูภาพ 12 และ13)
ธนบัตรที่จัดพิมพ์ในประเทศไทยช่วงสงตราม นอกจากมีคุณภาพด้านสีและลวดลายค่อนข้างต่ำแล้ว เนื้อกระดาษก็เป็นอย่างเลวเพราะหากระดาษยาก พานรัฐธรรมนูญแทนที่จะเป็นลายน้ำ ก็พิมพ์รูปลงไปในวงกลมสีขาวเลย
ภาพที่ 12 ธนบัตรราคา 1 บาท พิมพ์โดยโรงพิมพ์เอกชนภายในประเทศ |
ภาพที่ 13 ธนบัตรราคา 1 บาท พิมพ์โดยโรงพิมพ์เอกชนภายในประเทศ ผิดเพี้ยนทั้งสีและขนาด ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2488 |
ธนบัตรเล้งท่าฉาง
ธนบัตรซึ่งมีชื่อเสียงโจษขานในเรื่องการถูกขโมยและการปลอมแปลงลายมือชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมากที่สุดในช่วงสงคราม เห็นจะไม่มีชุดใดเกินธนบัตรชุด "เล้งท่าฉาง"
ในสงครามขณะนายเล้ง ศีรสมวงศ์ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีเรื่องเล่ากันมาว่าญี่ปุ่นได้ลำเลียงธนบัตรชนิดราคาต่าง ๆ จากมาลายูหรืออินโดนีเซียเข้ากรุงเทพฯ โดยทางรถไฟหลายเที่ยว เที่ยวหนึ่งได้ถูกคนไทยขโมยธนบัตรเหล่านี้โดยการถีบหีบห่อลงจากตู้รถไฟ ขณะแล่นอยู่ระหว่างสถานีบางน้ำจืดถึงสถานีท่าฉาง เมื่อได้ธนบัตรเหล่านี้แล้วก็มีชาวบ้านหัวใส นำไปมอบให้ชาวไทยผู้หนึ่งชื่อ "เล้ง" แห่งอำเภอท่าฉาง
เป็นผู้เซ็นชื่อ "เล้ง ศรีสมวงศ์" ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงในธนบัตรดังกล่าว และไปว่าจ้างโรงพิมพ์ในท้องถิ่นตีพิมพ์หมายเลขธนบัตร แล้วนำออกเผยแพร่จ่ายแจกหรือจำหน่ายในราคาถูก ธนบัตรเหล่านี้มีเป็นจำนวนมาก คนไทยในสมัยนั้นจึงเรียกธนบัตรรุ่นที่มีปัญหานี้ว่า "ธนบัตรเล้งท่าฉาง" และเรียกลกุ่มคนที่ขโมยธนบัตรหรือสัมภาระของญี่ปุ่นจากตู้รถไฟว่า "ขบวนการไทยถีบ"
ธนบัตรเล้งท่าฉางที่พบส่วนใหญ่เป็นราคา 10 บาท บางฉบับนายเล้งได้ลงนามเอง บางฉบับใช้ลายเซ็นซึ่งแกะด้วยหัวมันเทศประทับลงไป นับเป็นเรื่องที่จัดว่าฮือฮากันไปทั่วในเวลานั้น
จากการสอบถามนายธรรมทาส พานิช แห่งโรงพิมพืธรรมทาน อำเภอไชยา เล่าว่าสมัยนั้นมีการขโมยห่อนธนบัตรที่ขนจากทางใต้ไปกรุงเทพฯ ที่สถานีรถไฟบางน้ำจืด อำเภอท่าฉางจริง เพราะได้มีผู้นำเอาธนบัตรราคา 10 บาท (สีน้ำตาล) มาว่าจ้างให้โรงพิมพ์ธรรมทานตีพิมพ์ชื่อนายเล้ง ศรีสมวงศ์ และพิมพ์หมายเลขลงบนธนบัตร แต่ทางโรงพิมพ์ปฏิเสธ ตนจึงไม่ทราบว่าธนบัตรดังกล่าวมีจำนวนเท่าใด และนำไปดำเนินการอย่างไรต่อไป
ต่างหากพิจารณาถึงความเป็นไปได้แล้ว ขบวนการไทยถีบน่าจะดำเนินการขโมยและปลอมแปลงธนบัตรอีกชุดหนึ่งคือ ชุดพิมพ์ที่ญี่ปุ่น (ชนิดราคา 10 บาท) ซึ่งมีจำนวนหนึ่งพิมพ์ที่ชวาด้วยกระดาษและหมึกที่มีคุณภาพต่ำและปลอมแปลงได้ง่ายในวันที่ 30 มันาคม พ.ศ.2489 รัฐบาลจึงประกาศให้ใช้เป็นธนบัตรแก้ราคาเป้น 50 สตางค์ ซึ่งจากธนบัตรตัวอย่างที่มีอยู่ จะเห็นว่าตราประทับแก้ราคา ง่ายต่อการปลอมและเป็นไปได้ที่จะแกะจากหัวมัน ลงนามพระยาศรีวิศาลวาจา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ในสมัยนั้น) ก็ดูไม่ออกว่าใครเขียน เลขหมวดหมุ่ปากกาคอแร้งเขียนเอาเฉย ๆ ประกอบกับมีหลักฐานสนับสนุนว่าธนบัตรชุดนี้ขนจากใต้ไปกรุงเทพ ฯ แน่ (เพราะพิมพ์ที่ชวา) ทำให้น่าจะเชื่อว่าเรื่องธนบัตรเล้งท่าฉางนั้น อาจเป็นศรีวิศาลวาจาท่าฉางก็เป้นได้ แต่ทั่งนี้ยังไม่คลายสงสัยว่าเหตุใดจึงเพียรพยายามแก้ธนบัตรจากราคา 10 บาท ลงมาเป็น 50 สตางค์เล่า?
ภาพที่ 14 ธนบัตรราคา 5 บาท ลงนามโดยรายเล้งท่าฉาง (นายเล้ง แห่งอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฏร์ธานี) |
ภาพที่ 15 ธนบัตรราคา 10 บาท ลงนามโดยนายเล้งท่าฉาง (นายเล้ง แห่งอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฏร์ธานี) |
ภาพที่ 16 ธนบัตรราคา 10 บาท ซึ่งนำมาจากประเทศอินโดนีเซีย ผ่านทางภาคใต้โดยทางรถไฟ |
ภาพที่ 17 ธนบัตรราคา
10 บาท(ด้านหลัง)ภายหลังมีการแก้ไขราคาเป็น |
ธนบัตรหม้อขายก๋วยเตี๋ยว
ธนบัตรนี้ไม่เป็นที่รู้กันมากเท่าตางค์กล้วย และเล้งท่าฉางแต่เพื่อให้เรื่องธนบัตรไทยกับสงครามโลกครั้งที่สองครบถ้วน จึงขอกล่าวไว้ในที่นี้ด้วย
ในช่วงต้นสงครามนั้น ไทยได้รับคืนรัฐมลายูตอนเหนือคืน (ปะลิส กลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี) โดยญี่ปุ่นยึดจากอังกฤษมา จึงเตรียมธนบัตรไปใช้ในราคาหนึ่งดอลล่าร์ ซึ่งมีภาษาไทยจีน และมลายู ใช้กระดาษขนาด 16 ฉบับต่อแผ่น แล้วตัดออกเป็นรายฉบับ แต่มิได้นำออกไปใช้ตามที่คาดหมายไว้ พอดีธนบัตรขาดแคลน จึงมาแก้ราคาเป็น 50 บาท ในการพิมพ์แก้นั้นได้เอาธนบัตร 16 ฉบับ มาปะปนกระดาษขนาดเท่าเดิมก่อนแล้วจึงพิมพ์ จากนั้นก็แช่น้ำในหม้อก๋วยเตี๋ยว ให้หลุดแยกจากฉบับเดิม แล้วเอาไปตากแห้งก่อนนำออกใช้ ธนบัตรชุดนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2488
ภาพที่ 18 ธนบัตรหม้อขายก๋วยเตี๋ยว |
ภาพที่ 19 ธนบัตรหม้อขายก๋วยเตี๋ยว (ด้านหลัง) |
สำหรับธนบัตรแบบบุกนั้น เป้นธนบัตรที่ทางการทหารอังกฤษจัดพิมพ์ไว้เตรียมใช้เมื่อตีไทยจากญี่ปุ่นได้ แต่สงครามสงบเสียก่อน ประกอบกับไทยขาดแคลนธนบัตร อังกฤษจึงยกให้ไทยมาพิมพืดัดแปลงใช้ มีราคาเดียว (คือ 1 บาท) ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2489
นอกจากนี้ในปลายสงคราม รัฐบาลอังกฤษยังได้ส่งบริษัทโทมัสเดอลารู จำกัด พิมพ์ธนบัตรแบบที่เคยพิมพ์ให้ไทนก่อนสงคราม ราคา 1 , 5 และ 10 บาท โดยใช้เลขหมวดหมู้ซ้ำกับที่เคยออกแล้ว เพื่อกองทัพพันธมิตร รวมมูลค่า 412,705 บาทอีกด้วย
เท่าที่เก็บมาเล่านี้คงพอจะนึกภาพเมื่อ 50 ปีที่แล้วได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะความวุ่นวายของธนบัตรไทยและธนบัตรที่ถูกเอามาใช้ในไทย